การวัดผลโฆษณาบน LINE Ads ไม่ได้หยุดเพียงแค่การดูจำนวน การแสดงผล การเข้าถึง หรือการคลิกเข้าชมเว็บไซต์เท่านั้น แต่สามารถขยายไปถึงการติดตามพฤติกรรม เชิงลึกบนเว็บไซต์ผ่าน LINE Tag ซึ่งช่วยให้ผู้ลงโฆษณามองเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น การเปิดหน้าเฉพาะ การลงทะเบียน หรือแม้กระทั่งการสั่งซื้อสินค้า ซึ่งข้อมูล เหล่านี้มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
โดยปกติการดูผลลัพธ์เบื้องต้น เช่น จำนวนการคลิกหรือการมีส่วนร่วม สามารถตรวจสอบได้จาก LINE Ads Manager แต่การติดตั้ง LINE Tag บนเว็บไซต์จะช่วยเก็บข้อมูล การกระทำต่างๆ ได้อย่างละเอียด ช่วยให้ผู้ลงโฆษณามีมุมมองเชิงลึก และนำไปสู่การปรับกลยุทธ์โฆษณาให้เหมาะสมกับเป้าหมายอย่างแท้จริง
LINE Tag คือ โค้ดที่นำไปติดตั้งไว้บนเว็บไซต์เพื่อใช้ในการติดตามผู้เข้าชมเว็บไซต์ และวัดผลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ลงโฆษณานำข้อมูลไปใช้ในการปรับแคมเปญโฆษณาให้ดีขึ้น รวมถึงสามารถนำไปสร้างเป็นกลุ่มเป้าหมายจาก LINE Tag ได้ เช่น ผู้เข้าชมเว็บไซต์ ผู้เข้าชมเว็บไซต์เฉพาะหน้า ผู้ที่เพิ่มสินค้าลงในตะกร้า หรือผู้ที่ซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ เป็นต้น
การติดตั้ง LINE Tag บนเว็บไซต์ทำได้โดยวางโค้ดไว้ในหน้า หรือเหตุการณ์ที่ต้องการวัดผล ซึ่งโค้ด LINE Tag มีทั้งหมด 4 รูปแบบหลัก ดังนี้:
1. Base Code คือโค้ดตัวที่สำคัญที่สุดที่ต้องติดตั้งก่อน เพราะหากไม่มีโค้ดนี้ โค้ดอื่นๆ ก็จะไม่สามารถใช้งานได้ โดยการติดตั้งนั้นต้องเพิ่ม Base Code ลงใน Header ของทุกๆ หน้าบนเว็บไซต์ ซึ่งอาจจะมีการติดตั้งแค่ Base Code ในทุกหน้าของเว็บไซต์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็สามารถวัดจำนวนของผู้เข้าชมหน้าเว็บไซต์หน้าต่างๆ ได้แล้วโดยที่ไม่ต้องอาศัยโค้ดตัวอื่นๆ ก็ได้
ภาพข้างบนคือตัวอย่างของ Base Code ที่ใช้สำหรับติดตั้งบนเว็บไซต์ โดยในโค้ดทั้งเช็ตจะมีส่วนประกอบสำคัญก็คือ Tag ID ซึ่งตัวอักษรภาษาอังกฤษผสมกับตัวเลข 32 ตัว โดย Tag ID จะแตกต่างกันไปตามแต่ละเช็ตของโค้ด LINE Tag ที่ได้มาจากแต่ละบัญชีโฆษณา
2. Conversion Code คือโค้ดที่ต้องติดตั้งหลังจากติดตั้ง Base Code เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย Conversion Code จะช่วยให้ผู้ลงโฆษณาวัดจำนวนการกระทำที่เป็นผลลัพธ์หลักที่ต้องการจะวัดผล เช่น เมื่อเกิดการซื้อสินค้าในหน้าเว็บไซต์ขึ้น หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ใช้งานเว็บไซต์ลงทะเบียนเสร็จสิ้น โดยจะต้องติดตั้ง Conversion Code เพิ่มลงในหน้าเว็บไซต์ หรือที่ปุ่ม หรือที่เหตุการณ์ต่างๆ ที่ต้องการติดตามวัดผล Conversion บนเว็บไซต์
3. Standard Event Code เป็นโค้ดสำเร็จรูปที่มีลักษณะคล้ายกับ Conversion Code ทั้งในด้านหลักการทำงานและการติดตั้ง ความแตกต่างหลักอยู่ที่ชื่อเหตุการณ์ที่ใช้วัดผล โดย LINE ได้เตรียมเหตุการณ์ยอดนิยม (Standard Event) ไว้ให้เลือกหลากหลาย เช่น Purchase หรือ Generate Lead ซึ่งการใช้ Standard Event Code มีข้อดีเหนือกว่า Custom Event เพราะระบบสามารถใช้สัญญาณจากเหตุการณ์เดียวกันในการเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimize) ได้ดีกว่า และลดความยุ่งยากในการสร้าง Custom Event ในภายหลัง ตัวอย่างของ Standard Event Code ได้แก่
ข้อดีเพิ่มเติมของ Standard Event Code
4. Custom Event Code เป็นโค้ดที่มีหลักการทำงานเหมือนกับ Standard Event Code ทุกประการ แต่เหมาะสำหรับกรณีที่เหตุการณ์ที่ต้องการวัดผลไม่สามารถใช้งาน ชื่อ Standard Event ที่มีอยู่ได้ ในกรณีนี้ผู้ลงโฆษณาสามารถสร้างชื่อเหตุการณ์เฉพาะของตนเองได้ผ่าน Custom Event โดยสามารถตั้งชื่อได้อย่างอิสระ (ความยาวไม่เกิน 20 ตัวอักษร)
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้เลือกใช้ Standard Event Code ก่อนเสมอ เนื่องจากช่วยให้ระบบ Optimize ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และลดความซับซ้อนในการตั้งค่าหรือการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคต หาก Standard Event ไม่มีเหตุการณ์ที่เหมาะสม จึงค่อยพิจารณาใช้ Custom Event Code เพื่อรองรับความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของธุรกิจ
นอกจากการวัดผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาที่มีเว็บไซต์เป็นส่วนร่วมได้แล้ว ยังสามารถนำไปสร้าง “กลุ่มเป้าหมายแบบกำหนดเอง” (Custom Audience) สำหรับนำไป Retarget ในการโฆษณาบน LINE Ads และ นำไปเป็นกลุ่มเป้าหมายในการบรอดแคสต์หรือสเต็ปเมสเสจบน LINE OA ได้อีกด้วย
สำหรับรายละเอียดวิธีการติดตั้ง LINE Tag บนเว็บไซต์ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่